เรารักประเทศไทย

วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

song (100 คำถาม 1 คำตอบ)


Happy Vampires โหลดเพลงแกรมมี่แบบไม่ยั้ง แค่เดือนละ 20 บาท Click ที่นี่เลย

ใบงานที่ 14

ความเหมือนหรือแตกต่าง Blogge & GotoKnow.org

Blogge
1. Blogger เป็นพวก “ติดเน็ต”Blogger จะใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่หน้า computer เพื่ออ่าน Blog ของคนอื่น, ค้นคว้าเรื่องที่ตนเองสนใจ ฯลฯ ขาดเน็ตประหนึ่งขาดใจ เป็นพวกที่ถ้าหากว่าจะออกจากบ้าน ไปที่ไหนซักแห่ง สิ่งแรกที่คิดถึง คือ “ที่นั่น มีเน็ตหรือเปล่า”
2. Blogger บ้าเขียน เป็นชีวิตจิตใจเขียน เขียน เขียน Blogger ส่วนใหญ่จะมีพื้นฐานด้านการเขียน ที่ดีพอในระดับหนึ่ง จริงๆ แล้ว การมี Blog ปัจจุบัน ก้าวข้ามข้อจำกัดพื้นฐานเรื่องการเขียนไปแล้ว เพราะว่าการมี Blog สมัยนี้ สามารถใส่สื่อต่างๆ ลงไปได้ แต่สิ่งที่จำเป็นสุดๆ คือ “Blogger จะต้องมีทักษะด้านการสื่อสารที่ดี” เพราะหากเขียนไม่ได้ แต่เล่าเรื่องเก่ง ก็สามารถทำ Video Blogging (Vlog) ได้แล้วครับ ถามตัวคุณเองสิว่า ”คุณคุยกับชาวบ้านรู้เรื่องหรือเปล่า” ถ้าคุยรู้เรื่อง คุณก็ผ่านข้อนี้
3. Blogger รักที่จะทำ Blog ของเขาจากใจจริงBlogger ระดับแนวหน้าของโลก ยังพูดความจริงข้อนี้เสมอ ดังคำกล่าวที่ว่า ” Do what you love, Money will follow” หลายๆ คนที่หันมาทำ Blog จุดประสงค์แต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่สุดท้ายแล้ว คนที่อึดกว่า ย่อมได้เปรียบ ดังนั้น ถ้าคุณทำในสิ่งที่คุณรัก และ ชอบ คุณก็จะทำมันได้อย่างมีความสุข และยากมากที่จะหมดไฟ ในการทำ Blog คุณมีเรื่องที่ทำแล้วมีความสุขแล้วหรือยัง
4. Blogger จะรู้สึกดีเมื่อได้เขียน Blog ของเขาต่อเนื่องจากข้อที่แล้ว สิ่งที่คุณทำแล้วมีความสุข แล้วคุณรู้สึกดีได้หรือไม่ เมื่อได้แบ่งปันความสุขของคุณให้คนอื่นได้รับรู้ “ผู้ให้ย่อมได้รับ” ถ้าคุณพร้อมที่จะให้สิ่งที่ทำให้คุณมีความสุขได้แล้ว ผมก็เชื่อเหลือเกินว่า มีคนอีกจำนวนไม่น้อย ที่สามารถรับรู้ ความสุขจากสิ่งที่คุณบอกเล่าผ่าน Blog ของคุณได้
5. Blogger เป็นพวกที่ขยันเรียนรู้ เทคโนโลยี ใหม่ๆ เสมอBlog เป็นเรื่องบน Internet อยู่แล้ว ดังนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่ Blogger จะต้องพยายามเรียนรู้เรื่องราวของเทคโนโลยี อาจจะไม่ต้องมากถึงขนาดเป็น Programmer เอฟแนะนำว่า แค่เรียนรู้เทคโนโลยีที่เราต้องนำมาใช้งานเพื่อสร้างสรรค์ Blog ของเราให้ได้อย่างมีคุณภาพ และ ประสิทธิภาพแค่นั้นก็ได้
6. Blogger มีความเป็นผู้นำอยู่ในตัวBlogger คือกลุ่มคนผู้นำเสนอสิ่งที่ตนเองชื่นชอบออกมาบนโลกออนไลน์ เพื่อให้คนทั่วไปได้รับรู้ว่าตัวตนของเขาจริงๆ แล้วเป็นอย่างไร ชื่นชอบอะไร ไม่ชอบอะไร ดังนั้นเมื่อคุณจะเป็น Blogger คุณต้องกล้าพอที่จะเล่าเรื่องที่คุณอยากจะบอกให้โลกได้รับรู้ เพราะถ้าคุณไม่กล้าพอที่จะเล่าเรื่องที่คุณคิด คุณก็จะทำได้แค่ เล่าเรื่องที่ฟังเขามาอีกที แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร ถ้าบ้าน (Blog) ของคุณ กลายเป็นที่แสดงความคิดเห็นของคนอื่น (ฟังเขามา) Blogger คือผู้ที่กล้าลองสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ

GotoKnow.org
GotoKnow.org สามารถจัดการบล็อกได้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็น การสร้าง แก้ไข ลบ บล็อก หรือ การสร้าง แก้ไข ลบ บันทึก หรือ การลบข้อคิดเห็นเป็นต้น อีกทั้งเขียนบันทึกได้ง่ายเหมือนใช้ไมโครซอฟท์เวิร์ดแล้วนั้น ระบบบล็อก GotoKnow.org ยังอำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้ได้อีกมากมาย อาทิ สามารถสร้างบล็อกหรือชุมชนบล็อกได้มากกว่าหนึ่งแห่ง, บล็อกแต่ละบล็อกสามารถเป็นสมาชิกชุมชนบล็อกได้มากกว่าหนึ่งแห่ง, เผยแพร่ความรู้ฉับไวด้วยเทคโนโลยี RSS และมีการปรับปรุงพัฒนาระบบอย่างต่อเนื่อง และมีความปลอดภัยสูงฯลฯ
ทั้งนี้ GotoKnow.org ย่อมาจาก The Gateway of Thailand's Online Knowledge Management เป็นระบบ บล็อก(Blog) เพื่อการจัดการความรู้แบบฝังลึก โดยเน้นการบันทึกในรูปแบบของแต่ละบุคคลเพื่อแสดงความคิด ความรู้ ประสบการณ์ เทคนิคการทำงาน และร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับผู้อื่นผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ประโยชน์ของการบันทึกความรู้ลงบล็อกเป็นเครื่องมือในการสร้างความรู้ เผยแพร่ความรู้ แลกเปลี่ยนความรู้ เป็นเครื่องมือค้นหาผู้ชำนาญการ และสามารถแยกแยะประเภทของความรู้และสร้างความสัมพันธ์ของความรู้ โดยเจ้าของบล็อกสามารถจัดกลุ่มบันทึกแต่ละบันทึกด้วยคำหลักซึ่งแทนแก่นความรู้สำคัญของบันทึกนั้นๆ ฯลฯ

วันศุกร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ใบงานที่3 การพัฒนาหลักสถานศึกษา(งานกลุ่ม)

การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา
การพัฒนาหลักสูตร
ความหมายของการพัฒนาหลักสูตร
มีนักการศึกษาให้ความหมายของคำว่า “ การพัฒนาหลักสูตร ” ไว้ดังนี้
สงัด อุทรานันท์ ได้กล่าวถึงความหมายของการพัฒนหลักสูตรว่า “ การพัฒนา ” ตรงกับคำในภาษาอังกฤษว่า “Development” มีความหมายอยู่ ๒ ลักษณะ คือ
• การทำให้ดีขึ้นหรือทำให้สมบูรณ์ขึ้น
• การทำให้เกิดขึ้น
ด้วยเหตุนี้การพัฒนาหลักสูตรจึงมีความหมายใน ๒ ลักษณะ คือ การทำหลักสูตรที่มีอยู่แล้วให้ดีขึ้น หรือสมบูรณ์ขึ้น กับการสร้างหลักสูตรขึ้นมาใหม่ โดยไม่มีหลักสูตรเดิมเป็นพื้นฐานเลย
ทาบา (Taba) ได้กล่าวไว้ว่า “ การพัฒนาหลักสูตร หมายถึง การเปลี่ยนแปลงปรับปรุงหลักสูตรอันเดิมให้ได้ผลดียิ่งขึ้น ทั้งในด้านการวางจุดมุ่งหมาย การจัดเนื้อหาวิชา การเรียนการสอน การวัดผลประเมินผล และอื่นๆ เพื่อให้บรรลุถึงจุดมุ่งหมายอันใหม่ที่วางไว้ การเปลี่ยนแปลงหลักสูตรเป็นการเปลี่ยนแปลงทั้งระบบหรือเปลี่ยนแปลงทั้งหมด ตั้งแต่จุดมุ่งหมายและวิธีการ และการเปลี่ยนแปลงหลักสูตรนี้จะมีผลกระทบกระเทือนทางด้านความคิดและความรู้สึกนึกคิดของผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ส่วนการปรับปรุงหลักสูตร หมายถึง การเปลี่ยนแปลงหลักสูตรเพียงบางส่วนโดยไม่เปลี่ยนแปลงแนวคิดพื้นฐาน หรือรูปแบบของหลักสูตร ”
กู๊ด (Good) ได้ให้ความเห็นว่า “ การพัฒนาหลักสูตรเกิดได้ ๒ ลักษณะ คือ การปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงหลักสูตร การปรับปรุงหลักสูตรเป็นวิธีการพัฒนาหลักสูตรอย่างหนึ่งเพื่อให้เหมาะสมกับโรงเรียนหรือระบบโรงเรียน จุดมุ่งหมายของการสอน วัสดุอุปกรณ์ วิธีสอน รวมทั้งการประเมินผล ส่วนคำว่าเปลี่ยนแปลงหลักสูตร หมายถึงการแก้ไขหลักสูตรให้แตกต่างไปจากเดิม เป็นการสร้างโอกาสทางการเรียนขึ้นใหม่ ”
เซเลอร์ และอเล็กซานเดอร์ (Saylor and Alexander) ให้ความหมายว่า “ การพัฒนาหลักสูตร หมายถึง การจัดทำหลักสูตรเดิมที่มีอยู่แล้วให้ดีขึ้น หรือเป็นการจัดทำหลักสูตรใหม่โดยไม่มีหลักสูตรเดิมอยู่ก่อน การพัฒนาหลักสูตร อาจหมายรวมถึงการสร้างเอกสารอื่นๆ สำหรับนักเรียนด้วย ”
จากความหมายของการพัฒนาหลักสูตรที่นักการศึกษาได้กล่าวไว้ข้างต้น ทำให้สามารถอธิบาย สรุปความหมายของการพัฒนาหลักสูตรได้ว่า การพัฒนาหลักสูตร (Curriculum Development) หมายถึง การจัดทำหลักสูตร การปรับปรุง การเปลี่ยนแปลงหลักสูตรให้ดีขึ้น เพื่อให้เหมาะกับความต้องการของบุคคล และสภาพสังคม

สาเหตุที่ทำให้มีการพัฒนาหลักสูตร
การพัฒนาหลักสูตร จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องพิจารณาถึงข้อมูลพื้นฐานในด้านต่างๆ เพื่อให้หลักสูตรที่สร้างขึ้นมานั้น สมบูรณ์ สามารถสนองความต้องการของบุคคล และสังคม พื้นฐานด้านต่างๆ ที่นักพัฒนาหลักสูตรต้องนำมาพิจารณานั้นมีหลายประการ ซึ่งมีนักการศึกษาได้ให้ความคิดเห็นว่าพื้นฐานในการพัฒนาหลักสูตรด้านต่างๆ ที่ควรนำมาพิจารณาในการพัฒนาหลักสูตร มี ๕ ด้าน ดังนี้
๑. พื้นฐานทางด้านปรัชญาการศึกษา
๒. พื้นฐานทางด้านจิตวิทยา
๓. พื้นฐานทางด้านสังคมและวัฒนธรรม
๔. พื้นฐานทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง
๕. พื้นฐานทางด้านวิทยาการและเทคโนโลยี

กระบวนการพัฒนาหลักสูตร
ทาบา (Taba) ได้กล่าวถึง กระบวนการพัฒนาหลักสูตรที่ตอบสนองความต้องการของผู้เรียน ตามความเชื่อที่ว่าผู้เรียนมีพื้นฐานแตกต่างกัน โดยกำหนดกระบวนการพัฒนาหลักสูตรไว้ ๗ ขั้นตอน ดังนี้
๑. วินิจฉัยความต้องการ : สำรวจสภาพปัญหา ความต้องการ และความจำเป็นต่างๆ ของสังคม และผู้เรียน
๒. กำหนดจุดมุ่งหมาย : หลังจากได้วินิจฉัยความต้องการของสังคมและผู้เรียนแล้วจะกำหนดจุดมุ่งหมายที่ต้องการให้ชัดเจน
๓. คัดเลือกเนื้อหาสาระ : จุดมุ่งหมายที่กำหนด แล้วจะช่วยในการเลือกเนื้อหาสาระให้สอดคล้องกับจุดมุ่งหมาย วัย ความสามารถของผู้เรียน โดยเนื้อหาต้องมีความเชื่อถือได้ และสำคัญต่อการเรียนรู้
๔. จัดเนื้อหาสาระ : เนื้อหาสาระที่เลือกได้ ยังต้องจัดโดยคำนึงถึงความต่อเนื่อง และความยากง่ายของเนื้อหา วุฒิภาวะ ความสามารถ และความสนใจของผู้เรียน
๕. คัดเลือกประสบการณ์การเรียนรู้ : ครูผู้สอนหรือผู้ที่เกี่ยวข้องจะต้องคัดเลือกประสบการณ์การเรียนรู้ให้สอดคล้องกับเนื้อหาวิชา และจุดมุ่งหมายของหลักสูตร
๖. จัดประสบการณ์การเรียนรู้ : ประสบการณ์การเรียนรู้ควรจัดโดยคำนึงถึงเนื้อหาสาระและความต่อเนื่อง
๗. กำหนดสิ่งที่จะประเมินและวิธีการประเมินผล : ตัดสินใจว่าจะต้องประเมินอะไรเพื่อตรวจสอบผลว่าบรรลุตามจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้หรือไม่ และกำหนดด้วยว่าจะใช้วิธีประเมินผลอย่างไร ใช้เครื่องมืออะไร

สงัด อุทรานันท์ มีความเห็นว่าการพัฒนาหลักสูตรมีความครอบคลุมถึงการร่างหลักสูตรขึ้นมาใหม่ และการปรับปรุงหลักสูตรที่มีอยู่แล้วให้ดีขึ้นด้วย การใช้หลักสูตรและการประเมินหลักสูตรนั้น เป็นกระบวนการอันหนึ่งของการพัฒนาหลักสูตร โดยได้จัดลำดับขั้นตอนของการพัฒนาหลักสูตรไว้ดังนี้ คือ
๑. การวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน
๒. การกำหนดจุดมุ่งหมาย
๓. การคัดเลือกและจัดเนื้อหาสาระ
๔. การกำหนดมาตรการวัดและการประเมินผล
๕. การนำหลักสูตรไปใช้
๖. การประเมินผลการใช้หลักสูตร
๗. การปรับปรุงแก้ไขหลักสูตร
กระบวนการพัฒนาหลักสูตรทั้ง ๖ ขั้นดังกล่าว มีสาระสำคัญโดยสรุปดังนี้
๑. การวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน คือ ข้อมูลทางด้านความต้องการ ความจำเป็นและปัญหาทางสังคม เศรษฐกิจ การเมืองและการปกครอง ตลอดจนนโยบายทางการศึกษาของรัฐ ข้อมูลทางด้านจิตวิทยา ปรัชญาการศึกษา ความต้องการของผู้เรียน ตลอดจนวิเคราะห์หลักสูตรเดิม เพื่อพิจารณาข้อบกพร่องที่ควรปรับปรุงแก้ไข
๒. การกำหนดจุดมุ่งหมายของหลักสูตร คณะกรรมการดำเนินงานจะต้องร่วมกันพิจารณากำหนดจุดมุ่งหมายของหลักสูตรให้สอดคล้องกับข้อมูลพื้นฐาน โดยจุดมุ่งหมายของหลักสูตรจะระบุคุณสมบัติของผู้ที่จบหลักสูตรนั้นๆ มุ่งพัฒนาผู้เรียนทั้ง ๓ ด้าน คือ พุทธิพิสัย จิตพิสัย และทักษะพิสัย โดยกำหนดทั้งจุดมุ่งหมายทั่วไป และจุดมุ่งหมายเฉพาะ แต่ละรายวิชา ซึ่งจะเน้นการปฏิบัติมากขึ้น โดยคำนึงถึงพัฒนาการทางร่างกาย และจิตใจ ตลอดจนปลูกฝังนิสัยที่ดีงาม เพื่อให้เป็นพลเมืองดี
๓. การกำหนดเนื้อหาและประสบการณ์การเรียนรู้ หลังจากได้กำหนดจุดมุ่งหมายของหลักสูตรแล้ว ก็ถึงขั้นการเลือกสาระความรู้ต่างๆ ที่จะนำไปสู่การพัฒนาผู้เรียนให้เป็นไปตามจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้ เพื่อความสมบูรณ์ให้ได้วิชาความรู้ที่ถูกต้องเหมาะสม กระบวนการขั้นนี้ จึงครอบคลุมถึงการคัดเลือกเนื้อหาวิชาแล้วพิจารณาจัดลำดับเนื้อหาเหล่านั้นว่า เนื้อหาสาระใดควรเป็นพื้นฐานของเนื้อหาใดบ้าง ควรให้เรียนอะไรก่อนอะไรหลัง แล้วแก้ไขเนื้อหาที่ถูกต้องสมบูรณ์ทั้งแง่สาระและการจัดลำดับที่เหมาะสม ตามหลักจิตวิทยาการเรียนรู้
๔. การนำหลักสูตรไปใช้ เป็นขั้นของการแปลงหลักสูตรไปสู่การสอน ซึ่งเป็นขั้นตอนที่มีความสำคัญ และเกี่ยวข้องกับครูผู้สอน หลักสูตรจะประสบผลสำเร็จ มีประสิทธิภาพนั้นขึ้นอยู่กับผู้บริหารโรงเรียน และครูผู้สอนจะต้องศึกษาทำความเข้าใจ และมีความชำนาญในการใช้หลักสูตร ซึ่งครอบคลุมถึงการเตรียมการสอน การจัดการเรียนการสอน การจัดสภาพแวดล้อมต่างๆ ภายในโรงเรียนเพื่อเสริมหลักสูตร การนิเทศการศึกษา และการบริหารการบริการหลักสูตร ฯลฯ นอกจากนี้ในขั้นนี้ยังครอบคลุมถึงการนำหลักสูตรไปทดลองใช้ก่อนนำไปเผยแพร่ด้วย
๕. การประเมินผลหลักสูตร เป็นการประเมินสัมฤทธิ์ผลของหลักสูตรว่าเมื่อได้นำหลักสูตรไปใช้แล้วนั้น ผู้ที่จบหลักสูตรนั้นๆ ไปแล้ว มีคุณสมบัติ มีความรู้ความสามารถตามที่หลักสูตรกำหนดไว้หรือไม่ นอกจากนี้ การประเมินหลักสูตรจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการปรับปรุงหลักสูตรให้มีคุณค่าสูงขึ้น อันเป็นผลในการนำหลักสูตรไปสู่ความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ การประเมินหลักสูตรควรทำให้ครอบคลุมระบบหลักสูตรทั้งหมด และควรจะประเมินให้ต่อเนื่องกัน ดังนั้นการประเมินหลักสูตร จึงประกอบด้วยการประเมินสิ่งต่อไปนี้ คือ
๕.๑ การประเมินเอกสาร หลักสูตร เป็นการตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตร ว่ามีความเหมาะสมดี และถูกต้องตามหลักการพัฒนาหลักสูตรเพียงใด หากมีสิ่งใดบกพร่องก็จะได้ดำเนินการปรับปรุงแก้ไขก่อนจะได้นำไปประกาศใช้ในโอกาสต่อไป
๕.๒ การประเมินการใช้หลักสูตร เป็นการตรวจสอบว่าหลักสูตร สามารถนำไปใช้ได้ดีในสถานการณ์จริงเพียงใด มีส่วนไหนที่เป็นอุปสรรคต่อการใช้หลักสูตร โดยมากหากพบข้อบกพร่องในระหว่างการใช้หลักสูตรก็มักได้รับการแก้ไขโดยทันที เพื่อให้การใช้หลักสูตรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
๕.๓ การประเมินสัมฤทธิผลของหลักสูตร โดยทั่วไปจะดำเนินการหลังจากได้มีผู้สำเร็จการศึกษาจากหลักสูตรไปแล้ว การประเมินหลักสูตร ในลักษณะนี้มักจะทำการติดตามความก้าวหน้าของผู้สำเร็จการศึกษาว่าสามารถประสบความสำเร็จในการทำงานเพียงใด
๕.๔ การประเมินระบบหลักสูตร เป็นการประเมินหลักสูตรในลักษณะที่มีความสมบูรณ์และสลับซับซ้อนมาก กล่าวคือ การประเมินระบบหลักสูตรจะมีความเกี่ยวข้องกับองค์ประกอบอื่น ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับหลักสูตรด้วย เช่น ทรัพยากรที่ต้องใช้ ความสัมพันธ์ของระบบหลักสูตร กับระบบบริหาร โรงเรียน ระบบการจัดการเรียนการสอน และระบบการวัดและประเมินผลการเรียนการสอน เป็นต้น
๖. การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงหลักสูตร เป็นขั้นตอนที่เกิดขึ้นหลังจากได้ผ่านกระบวนการประเมินผลหลักสูตรแล้ว ซึ่งเมื่อมีการใช้หลักสูตรไประยะหนึ่งอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงทางสภาวะแวดล้อมและสังคม จนทำให้หลักสูตรขาดความเหมาะสม จำเป็นต้องมีการปรับปรุงแก้ไขให้เหมาะสมกับสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนไป
จากขั้นตอนดังกล่าวจะเห็นได้ว่า กระบวนการพัฒนาหลักสูตรนั้นจำเป็นต้องใช้ระยะเวลาในการดำเนินการมากขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงใหม่ว่ามีการเปลี่ยนแปลงมากน้อยเพียงใด ซึ่งส่วนใหญ่แล้วการพัฒนาหลักสูตรจะต้องใช้เวลาเป็นปีขึ้นไป ในการเตรียมการ และการดำเนินงานจำเป็นต้องใช้กำลังคน และงบประมาณมากพอสมควร เพื่อจะให้ได้หลักสูตรที่ดีมีประสิทธิภาพ อันจะส่งผลในการพัฒนาเยาวชนของชาติต่อไป
ปัญหาของการพัฒนาหลักสูตร
ปัญหาของการพัฒนาหลักสูตร คือปัญหาที่เกิดขึ้นในกระบวนการยกระดับของหลักสูตรจากระดับที่เป็นขึ้นสู่อีกระดับหนึ่ง ปัญหาอันเกิดจากการร่วมคิดร่วมทำ ร่วมกันสร้างหลักสูตร และร่วมกันนำหลักสูตรไปใช้ มีดังนี้
๑. ปัญหาขาดครูที่มีคุณสมบัติเหมาะสม
๒. ปัญหาการไม่ยอมรับและไม่เปลี่ยนแปลงบทบาทการอสนของครูตามแนวหลักสูตร
๓. ปัญหาการจัดอบรมครู
๔. ศูนย์การพัฒนาหลักสูตร ไม่เข้าใจบทบาทหน้าที่ของตน
๕. ขาดการประสานงานหน้าที่ดีระหว่างหน่วยงานต่างๆ
๖. ผู้บริหารต่าง ๆ ไม่สนใจเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงหลักสูตร
ปัญหาขาดแคลนเอกสาร เนื่องจากขาดงบประมาณและการคมนาคมขนส่งไม่สะดวก
ปัจจัยสำคัญที่ควรคำนึงถึงอย่างมากในการพัฒนาหลักสูตรให้มีคุณภาพ ๙ ปัจจัย โดยแบ่งเป็นปัจจัยหลัก ๓ ประการ และปัจจัยสนับสนุน ๖ ประการ ดังแผนภาพที่ ๑










แผนภาพที่ ๑ ปัจจัยที่ส่งผลต่อการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา (Marsh et al., 1990: 175)
จากแผนภาพที่ ๑ ปัจจัยหลักที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา มี ๓ ประการ คือ
แรงจูงใจของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ความสนใจในแนวคิดของนวัตกรรม และการควบคุมการทำงาน และมีปัจจัยสนับสนุน ๖ ประการคือ รูปแบบของกิจกรรม บรรยากาศของโรงเรียน บุคคลผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เวลา ทรัพยากร รวมทั้งการสนับสนุนจากภายนอก ซึ่งแต่ละปัจจัยสรุปดังนี้
๑. แรงจูงใจของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง
ผู้บริหารโรงเรียนและผู้มีส่วนร่วมจะมีอิทธิพลอย่างมากที่จะจูงใจผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง
และเพื่อนร่วมงานให้มีส่วนร่วมในการทำงาน ซึ่งแรงจูงใจเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญ ถ้าเริ่มต้นด้วยการจูงใจที่ไม่เป็นที่ยอมรับ เช่น ไม่มีการสนับสนุนด้านเวลา ทรัพยากร ข้อมูล แต่ให้ทำงานใหญ่ หรือถ้าบรรยากาศของโรงเรียนที่ไม่เอื้ออำนวยก็จะเป็นอุปสรรคในการทำงานได้ ดังนั้นการสร้างแรงจูงใจให้แก่ครูในโรงเรียนจึงเป็นจุดเริ่มต้นในความพอใจที่จะเข้าร่วมในการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาผู้บริหารสถานศึกษาจะเป็นผู้ซึ่งช่วยกระตุ้นทีมงานให้วางงานประจำโดยใช้การจูงใจด้วยวิธีการที่หลากหลาย ซึ่งต้องใช้เวลาระยะยาวในการพัฒนาทีมงานทั้งหมดของโรงเรียน
๒. ความสนใจในแนวคิดของนวัตกรรม
แนวคิดของนวัตกรรมเป็นปัจจัยที่สัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับแรงจูงใจของผู้มีส่วน
เกี่ยวข้องถ้าครูหรือผู้บริหารไม่สามารถนำเสนอแนวคิดใหม่ที่น่าสนใจครูจะไม่เข้าร่วมในกระบวนการพัฒนาหลักสูตร ดังตัวอย่าง ในประเทศอังกฤษผู้บริหารโรงเรียนจะเริ่มต้นโครงการโดยการเชิญบุคคลภายนอก เช่น ผู้อำนวยการทางการศึกษามาร่วมกิจกรรมการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา
๓. การควบคุมการทำงาน
ในการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา ควรทำให้ผู้มีส่วนร่วมในทีมงานพัฒนาหลักสูตร
รู้สึกว่าไม่ถูกควบคุม แต่สร้างให้มีความรับผิดชอบต่องานและได้แสดงความเป็นเจ้าของในงาน หากมีการควบคุมมากจากส่วนกลางที่มาจากนักพัฒนาหลักสูตร จะเป็นการเสี่ยงอย่างมากต่อความล้มเหลวในการทำงาน
๔. รูปแบบของกิจกรรม
กิจกรรมของการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา สามารถจัดได้หลายรูปแบบขึ้นอยู่
กับปัจจัยด้านเวลา งบประมาณ และวัตถุประสงค์ กิจกรรมจะเน้นที่กระบวนการมากกว่าผลผลิต เช่น เน้นที่การจัดระบบองค์กรที่ดี การสื่อสารที่เหมาะสม ความสามารถของทีมงานที่จะร่วมกันแก้ปัญหา และขวัญกำลังใจของทีมงาน เพราะการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา เป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับทีมงานทั้งหมดของโรงเรียนหรืออย่างน้อยก็เกี่ยวข้องกับหมวดวิชา



๕. บรรยากาศของโรงเรียน
บรรยากาศของโรงเรียนหรือบรรยากาศขององค์กรเป็นปัจจัยหลักที่สำคัญในการเปลี่ยนแปลงโรงเรียนโดยดูที่การให้การสนับสนุนของผู้บริหาร การจูงใจครู ความสัมพันธ์ของสังคม Brady (1988) พิจารณาที่ความสัมพันธ์ระหว่างบรรยากาศขององค์กรและสรุปว่าการสนับสนุนของผู้บริหารเป็นตัวบ่งชี้ที่สำคัญที่สุดในความสำเร็จของกิจกรรมการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาซึ่ง Huberman and Miles (1984) เสนอว่า บรรยากาศทางบวกของโรงเรียนเป็นสิ่งสำคัญต่อการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา

๖. บุคคลผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง
จำนวนของบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องและรูปแบบการมีส่วนร่วมมีความสำคัญยิ่ง
ต่อกิจกรรมของการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาซึ่งจากการศึกษาบทบาทของผู้บริหารสถานศึกษาเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา ดังเช่นที่ Rutherford (1984) เน้นที่วิสัยทัศน์ของผู้บริหารในกิจกรรมการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา Glatthorn (1987) กล่าวถึงเรื่องการสนับสนุนและแหล่งทรัพยากรที่ผู้บริหารสามารถนำมาใช้ในโครงการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา Leithwood and Montgomery (1982) กล่าวถึงผู้บริหารว่ามีหน้าที่รับผิดชอบและพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและทักษะองค์กรระหว่างทีมงานและในปี ค.ศ.1986 Leithwood and Montgomery (1986) ได้กล่าวเพิ่มเติมถึงรูปแบบของผู้บริหารแบบผู้ริเริ่ม และนักแก้ปัญหา จะช่วยสนับสนุนให้กิจกรรมของการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาประสบความสำเร็จ รวมทั้ง Campbell (1985: 57) เสนอแนะว่าควรพัฒนาสิ่งต่อไปนี้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นในการบริหารจัดการการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา คือ ทักษะเกี่ยวกับหลักสูตร ได้แก่ ความรู้เกี่ยวกับเนื้อหาวิชา ทักษะการสร้าง การใช้ และประเมินหลักสูตร และ ทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ได้แก่ การเป็นผู้นำในการประชุม/อภิปราย การสื่อสาร การประสานงาน การให้คำปรึกษา เสนอแนะเพื่อนร่วมงาน การสอนเพื่อนร่วมงาน การบำรุงรักษาขวัญกำลังใจและลดความวิตกกังวลของเพื่อนร่วมงาน และการจัดการกับความขัดแย้ง
๗. เวลา
กิจกรรมของการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา ในแต่ละโรงเรียนที่จะสามารถ
ขับเคลื่อนการทำงานของทีมงานและมีการเปลี่ยนแปลงต้องใช้ระยะเวลาที่ยาว เพราะต้องมีการสะท้อนความคิด และช่วงการอภิปรายของสมาชิกตลอดเวลา เช่น ในการทำงานของทีมโรงเรียน River Valley High School ใช้เวลาในการดำเนินการถึง ๓ ปี ก่อนที่จะตัดสินใจนำหลักสูตรไปใช้ในโรงเรียนใหม่ หรือการดำเนินการของโรงเรียน Titahi Bay School และโรงเรียน Green Bay Primary School เริ่มโครงการในปี 1994 ไปเสร็จสิ้นในปี 1996 และจากกรณีศึกษาในประเทศแคนาดา ผู้บริหารพยายามใช้เวลาพบกับกลุ่มในการทำงานระหว่างเวลาการเรียนปกติ แต่กรณีของประเทศสหรัฐอเมริกาจะใช้เวลาเต็มที่ในช่วงวันหยุดระหว่างปิดภาคฤดูร้อน


๘. ทรัพยากร
Huberman and Miles (1984: 94-95) เสนอแนะว่า ทรัพยากรของการพัฒนา
หลักสูตรสถานศึกษา ประกอบด้วย เงินบริจาค วัสดุ อุปกรณ์ เช่น เอกสารในการทำกิจกรรม เครื่องมือต่างๆ หลักสูตร ผู้เชี่ยวชาญจากภายนอก การสาธิตและการเยี่ยมเยียนเสนอแนะในการประชุมปฏิบัติการ การช่วยเหลือด้านเวลา เช่น ลดคาบการสอน จัดระบบชั้นเรียนใหม่ การให้เงินช่วยเหลือครู และการช่วยเหลือด้านข้อมูลต่าง ๆ
๙. การสนับสนุนจากภายนอก
หน่วยงาน/องค์กรจากภายนอก เช่น รัฐ จังหวัด หน่วยงานด้านการศึกษาในท้องถิ่น
เป็นแหล่งข้อมูลที่จะช่วยเปลี่ยนแปลงโรงเรียน Lawton and Chitty (1988) Reid et al. (1988) Campbell (1985) และ Simons (1988) ชี้ให้เห็นว่าผู้อำนวยการศึกษาของรัฐ และหน่วยงานด้านวิทยาศาสตร์และการศึกษาเป็นหน่วยงานที่จะช่วยเพิ่มแรงผลักดันให้โรงเรียน โดยกำหนดนโยบายและสนับสนุนงบประมาณไปให้โรงเรียนและมีการแบ่งสรรทีมงานให้คำปรึกษา อำนวยความสะดวก ในการปฏิบัติตามนโยบาย ดังตัวอย่างในประเทศแคนาดา กระทรวงศึกษาธิการ ของรัฐ Ontario มีนโยบายเน้นให้ทีมของโรงเรียนมีบทบาทในการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาโดยมีหน้าที่วางแผนด้านหลักสูตรด้วยผู้บริหารโรงเรียน และครู ประสานงานกับหน่วยศึกษานิเทศก์ และนักการศึกษาอื่น ๆ ซึ่งจ้างโดยคณะกรรมการของโรงเรียน
จากการศึกษาเกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งผลการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาข้างต้น สรุปได้ว่าการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษานั้นต้องคำนึงถึง ๓ ปัจจัยหลัก คือ การสร้างแรงจูงใจให้ผู้มีส่วนร่วม การเสนอ นวัตกรรมที่น่าสนใจและการให้ผู้มีส่วนร่วมได้รับผิดชอบและมีความเป็นเจ้าของ ซึ่งจะมีปัจจัยสนับสนุนจากการใช้รูปแบบกิจกรรมต่างๆ การสร้างบรรยากาศของโรงเรียนที่เอื้ออำนวยมีบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งภายในและนอกโรงเรียนสนับสนุน มีทรัพยากร/ข้อมูลที่เพียงพอมีการจัดสรรเวลาที่เหมาะสมในการปฏิบัติงานร่วมกัน รวมทั้งมีการวางแผนที่จะพัฒนาความรู้ ความสามารถของผู้มีส่วนร่วมเกี่ยวกับ ทักษะการพัฒนาหลักสูตรและทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ซึ่งปัจจัยทั้งหมดนี้จะส่งผลให้การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาประสบผลสำเร็จอย่างมีคุณภาพ

วิธีการการพัฒนาหลักสูตร มี ๕ วิธีการ
๑. การพัฒนาหลักสูตรจากเบื้องบนสู่เบื้องล่าง
๒. การพัฒนาหลักสูตรจากเบื้องล่างสู่เบื้องบน
๓. การพัฒนาหลักสูตรแบบวิธีการสาธิต
๔. การพัฒนาหลักสูตรวิธีการอย่างมีระบบ
๕. การพัฒนาหลักสูตรโดยวิธีเชิงปฏิบัติการ
ความสัมพันธ์ระหว่างหลักสูตรและการเรียนการสอน

ก. ระดับของหลักสูตร
- ประถมศึกษา
- มัธยมศึกษา - อุดมศึกษา - อาชีวศึกษา

สถาบัน/โรงเรียน

ข.
ห้องเรียน
โครงสร้างของ
- สาขาวิชา - กลุ่มวิชา
- รายวิชา
ค. - หน่วย












กระบวนการพัฒนาหลักสูตร


คณะกรรมการพัฒนาหลักสูตร
คณะครูผู้บริหาร นักเรียน
ผู้ปกครองและองค์การที่เกี่ยวข้อง พัฒนาสื่อการ
รูปแบบหลักสูตร เรียนการสอน
โครงสร้าง องค์ประกอบของหลักสูตร วัสดุหลักสูตร
- จุดมุ่งหมาย, เนื้อหาสาระ การนำไปใช้
- กระบวนการเรียนการสอน การติดตามผล
- การประเมินผล การประเมินหลักสูตร
กลุ่มเป้าหมาย
ปรัชญาการศึกษา, ปรัชญาสังคม ผู้เรียน

จิตวิทยาพัฒนาการ, การเรียนรู้

ธรรมชาติของความรู้

ประวัติศาสตร์, มนุษยศาสตร์
การศึกษา
สังคม เศรษฐกิจ สำรวจ
การเมือง วัฒนธรรม วิเคราะห์ วิจัย

แนวความคิดพื้นฐาน


ระบบพัฒนาหลักสูตร









องค์ประกอบของหลักสูตร



TYLER'S RATIONALE
๑. มีจุดมุ่งหมายทางการศึกษาอะไรบ้างที่โรงเรียนควรจะแสวงหา (Educational Purposes)
๒. มีประสบการณ์ทางการศึกษาอะไรบ้างที่โรงเรียนควรจัดขึ้นเพื่อช่วยให้บรรลุถึง
จุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้ (Educational Experiences)
๓. จะจัดประสบการณ์ทางการศึกษาอย่างไร จึงจะทำให้การสอนมีประสิทธิภาพ
(Organization of Educational Experiences)
๔. จะประเมินผลประสิทธิภาพของประสบการณ์ในการเรียนอย่างไร จึงจะตัดสินได้ว่า
บรรลุถึง จุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้ (Evaluation)

ขั้นตอนในการพัฒนาหลักสูตรของ TYLER
(CONCEPTUAL FRAMEWORK FOR CURRICULUM DEVELOPMENT)


จุดมุ่งหมายชั่วคราว จุดมุ่งหมายสุดท้ายการเรียน

การเลือกประสบการณ์

การจัดประสบการณ์การเรียน

ประเมินผล

๙. การจัดองค์ประกอบของหลักสูตร
๑. ขอบข่ายของหลักสูตร (Scope)
๒. การบูรณาการ (Integration) จะต้องเชื่อมโยงเนื้อหาจากสาขาวิชาหนึ่งไปยังเนื้อหา
ของอีกสาขาวิชาหนึ่งได้
๓. การเรียงลำดับขั้นตอน (Sequence) จากง่ายไปหายาก
๔. ความต่อเนื่องกัน (Continuity) จัดโอกาสให้กับผู้เรียนอย่างต่อเนื่อง
(ให้เรียนซ้ำบ่อย ๆ)
๕. ความสัมพันธ์เชื่อมโยงและความสมดุล (Articulation and Balance) จัดต้องสัมพันธ์กัน
๑๐. รูปแบบของหลักสูตร
๑๐.๑ หลักสูตรที่เน้นเนื้อหาวิชาเป็นศูนย์กลาง
๑. หลักสูตรแบบรายวิชา เก่าแก่ที่สุดและเป็นที่รู้จักกันดีที่สุด เชื่อว่าสิ่งที่ทำให้มนุษย์ แตกต่างจากสัตว์อื่นๆ ก็คือ สติปัญญาและการค้นคว้าหาความรู้ ไม่คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลและ ผู้เรียน ความรู้ที่ได้แยกเป็นส่วนๆ เน้นที่ความจำ รายวิชาไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของผู้เรียน นักเรียนเป็นผู้รับรู้ แต่เพียงอย่างเดียว
๒. หลักสูตรแบบสาขาวิชา ปัจจุบันยังคงมีใช้อยู่ในระดับประถม มัธยมศึกษาและโดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับอุดมศึกษา เน้นความรู้เฉพาะในสาขาวิชาของตน จะต้องศึกษาโครงสร้างพื้นฐานของสาขาวิชา ผู้เรียนปรับตัวเข้าหาหลักสูตร สนใจแต่นักเรียนที่เก่ง ไม่สนใจข้อมูลอื่นที่ไม่สามารถจัดเข้าเป็นสาขาวิชาได้
๓. หลักสูตรแบบรวมวิชา เป็นหลักสูตรแบบบูรณาการ รวมหรือผสมผสานรายวิชาที่เกี่ยวข้องกัน ตั้งแต่ ๒ รายวิชาขึ้นไปเข้าเป็นสาขาวิชาเดียว (วิทย์ทั่วไป ประกอบด้วย คณิตศาสตร์ เคมี ชีววิทยา ฟิสิกส์)
๔. หลักสูตรแบบสัมพันธ์วิชาหรือสหสัมพันธ์ มีความสัมพันธ์กันระหว่างรายวิชานั้น ๆ หลักสูตรนี้ประสบความสำเร็จได้ยาก เพราะครูในชั้นเรียนประถม มักสอนคนเดียว ระดับมัธยม ครูสอนแยกแต่ละวิชา ไม่มีเวลาพอที่จะทำงานเป็นทีมร่วมกับครูอื่นๆ
๑๐.๒ หลักสูตรแบบเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
๑. หลักสูตรแบบเด็กเป็นศูนย์กลาง เน้นที่ตัวเด็กแทนที่การเน้นเนื้อหาวิชา เป็นการบูรณาการเนื้อหาให้เป็นหน่วยของประสบการณ์หรือปัญหาสังคม
๒. หลักสูตรประสบการณ์ เน้นเด็กเป็นศูนย์กลาง แต่ไม่อาจคาดหมายไว้ล่วงหน้าว่าความ สนใจและความต้องการของเด็กจะเป็นเช่นไร
๓. หลักสูตรแบบมนุษยนิยม ปล่อยให้นักเรียนเป็นอิสระเสรี มีความคิดสร้างสรรค์ ให้เรียนตามความสามารถของตัวเอง ไม่ตั้งจุดมุ่งหมาย เน้นคุณธรรม จริยธรรม อารมณ์ ให้ผู้เรียนได้เปิดเผยตัวเอง ต่างจากไทเลอร์ ซึ่งเน้นที่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ต้องตั้งจุดมุ่งหมายก่อนเพื่อแสดงพฤติกรรมที่วัดได้

๑๐.๓ รูปแบบที่เน้นปัญหาเป็นศูนย์กลาง เน้นปัญหาการดำรงชีวิต
๑. หลักสูตรแบบเน้นสภาพชีวิต เน้นทางสังคม ชีวิต ความเป็นอยู่ เรียนรู้โดยการแก้ปัญหา ใช้ประสบการณ์ของผู้เรียนในอดีตและในปัจจุบันมาช่วยในการวิเคราะห์ด้านต่างๆ ของชีวิต มีการบูรณาการ เนื้อหาจากหลายสาขาวิชา ข้อบกพร่อง กิจกรรมที่ทำในปัจจุบันจะถือว่าเป็นกิจกรรมที่สำคัญในอนาคตได้หรือไม่ ไม่ได้ให้นักเรียนเรียนรู้มรดกทางวัฒนธรรม สนใจแต่สภาพปัจจุบัน
๒. หลักสูตรแกน มีการวางแผนเป็นอย่างดี มีศุนย์กลางอยู่ที่วิชาศึกษาทั่วไป ปรับเปลี่ยนแผนที่วางไว้ได้ตามความเหมาะสม
๓. หลักสูตรเน้นการแก้ปัญหาสังคมและการปฏิรูปสังคม สนใจที่จะเชื่อมโยงหลักสูตรเข้ากับการพัฒนาสังคมทางการเมืองและเศรษฐกิจ
๔. หลักสูตรที่เน้นชุมชนเป็นฐาน
๑๐.๔ หลักสูตรที่เน้นเทคโนโลยี
๑๐.๕ หลักสูตรแบบสมรรถฐาน ทางพยาบาลจะใช้มาก ระบุเจตคติ
๑๑. การประเมินหลักสูตร
๑๑.๑ การประเมินคืออะไร
๑. คือการพิจารณาคุณค่าของสิ่งหนึ่งสิ่งใดโดยมีเกณฑ์ประกอบ เกณฑ์อาจเป็น
คุณสมบัติ คุณลักษณะ ข้อมูล
๒. คือการตรวจสอบการตัดสินใจ คุณค่า คุณภาพ ความสำคัญ
๓. คือการรวบรวมข้อมูลและใช้ข้อมูลเพื่อตัดสินใจ
๑๑.๒ เหตุผลที่ต้องประเมิน
๑. สถาบันได้สนองเจตนารมณ์ของสังคมเต็มที่เพียงไร
๒. ผลผลิตจากสถาบันมีคุณภาพอย่างไร
๓. ค่านิยมทางการศึกษาของคน (ชุมชน) คืออะไร
๔. จุดมุ่งหมายของหลักสูตรเหมาะสมเพียงไร
๕. การทำงานได้ผลตามจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้หรือไม่
๖. มีปัญหาและอุปสรรคอะไรบ้าง
๑๑.๓ การประเมินหลักสูตร คือการหาคำตอบว่าหลักสูตรสัมฤทธิ์ผลตามที่กำหนดไว้ในความมุ่งหมายของหลักสูตรหรือไม่ มากน้อยเพียงใด และอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้หลักสูตรไม่สัมฤทธิ์ผลตามความมุ่งหมาย
๑๒. ขั้นตอนในการประเมินหลักสูตร
๑. ขั้นพัฒนาหลักสูตร ประเมินโครงร่างหลักสูตร
- โครงสร้างหลักสูตร
- ความมุ่งหมายของหลักสูตร
- เนื้อหา
- กิจกรรมการเรียนการสอน
- อุปกรณ์ สื่อการสอน
- การประเมินผลการเรียนการสอน
- บรรยากาศในการเรียน
- สิ่งแวดล้อมในสถาบันการศึกษา
๒. ขั้นการใช้หลักสูตร ประเมินหลักสูตรที่ใช้จริง
- ประเมินในระหว่างดำเนินการใช้หลักสูตร (formative evaluation)
- ประเมินจุดเด่นและจุดด้อยของหลักสูตร
- การจัดการเรียนการสอน
- การบริหารหลักสูตร
๓. ขั้นผลิตผลของหลักสูตร ประเมินติดตามผล
- คุณภาพของบัณฑิต
- การทำงานของบัณฑิต
- ความพึงพอใจและความต้องการของนายจ้าง







รูปแบบของการประเมินหลักสูตร (CIPP MODEL)
ผู้คิด DANIEL N.STUFFLEBEAM
บริบท - ความสอดคล้องระหว่างหลักสูตรกับปรัชญา กฎหมาย แผนพัฒนา นโยบาย
context - ความเหมาะสมของจุดมุ่งหมายของหลักสูตร
- ความเหมาะสมของโครงสร้างหลัดสูตร
ปัจจัยนำเข้า - คุณลักษณะของนิสิต
Input - ภาระงานของอาจารย์
- ข้อมูลเกี่ยวกับสถาบัน
- แหล่งความรู้
กระบวนการ - การใช้หลักสูตร
Process - พฤติกรรมการสอน
- การนำทรัพยากรมาใช้
- การบริหารหลักสูตร
- การปฏิบัติงานในระบบ
ผลผลิต - คุณภาพของบัณฑิต
Product - สมรรถภาพในการทำงาน
- ความพึงพอใจของผู้ใช้ บัณฑิต


๑๓. John Neisbitt (Magatrend) ให้มุมมองในอนาคตไว้ดังนี้
๑. การเปลี่ยนแปลงจากสังคมอุตสาหกรรม
๒. สังคมในอนาคต ต้องการใช้เทคโนโลยีระดับสูงเพื่อให้สอดคล้องกับปฏิสัมพันธ์ของ
มนุษย์ระดับสูง
๓. เศรษฐกิจจะเปลี่ยนจากระดับชาติไปสู่ระดับโลก
๔. การวางแผนจะเปลี่ยนจากการวางแผนระยะสั้นไปสู่การวางแผนระยะยาวและสู่การ
ปฏิบัติ
๕. การบริการและการบริหารจะเปลี่ยนจากศูนย์รวมไปสู่การกระจายอำนาจ
๖. การเน้นการช่วยตนเองแทนการให้หน่วยงานช่วย
๗. ประชาธิปไตยจะเปลี่ยนจากประชาธิปไตยแบบมีตัวแทนไปเป็นประชาธิปไตยแบบมี
ส่วนร่วม
๘. การจัดองค์การจะเปลี่ยนจากการแบ่งระดับชั้นไปเป็นการสร้างเครือข่าย
๙. เขตความเจริญจะเปลี่ยนจากทางเหนือมาเป็นแถบเอเซียแปซิฟิก
๑๐. จะเปลี่ยนสถานการณ์ที่มีทางเลือกสองทางเป็นหลายทาง
๑๔. การพัฒนาหลักสูตรในอนาคต
๑. พัฒนาเครือข่ายการเรียนรู้ (เครือข่ายวิชาการ วิชาชีพ)
๒. พัฒนาหลักสูตรเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development)
- จัดหลักสูตรเพื่อการพัฒนาคนต่อเนื่องตลอดชีวิต
๓. รูปแบบหลักสูตรจะหลากหลายมากขึ้น เช่นหลักสูตรการศึกษาภาคพิเศษ หลักสูตร
เฉพาะกิจ หลักสูตรฝึกอบรม
๔. เปิดหลักสูตรนานาชาติเพิ่มขึ้น
๕. มีการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศอย่างน้อย ๒ ประเทศ เช่น เวียดนาม เขมร ลาว มลายู
๖. มีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศมากขึ้น การใช้เทคโนโลยีต้องไม่ขัดกับสังคมและ
สิ่งแวดล้อม ต้องไม่ให้เทคโนโลยีเป็นนายเรา
๗. หลักสูตรและการเรียนการสอนจะต้องพัฒนาทักษะในการคิด การศึกษาหาความรู้ด้วย
ตนเอง และความสามารถในการสื่อสาร พัฒนาคนให้คิดว้าง คิดไกล ใฝ่รู้
๘. ให้ผู้เรียนมีความรู้ทั้งเรื่องที่เป็นสากล นานาชาติ และของไทย ต้องรู้เขารู้เรา
๙. พัฒนาหลักสูตร ส่วนกลาง ๖๐ %
ส่วนท้องถิ่น ๔๐ %
๑๐. จัดการเรียนการสอน โดยใช้การวิจัยเป็นฐาน ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา
๑๑. จะต้องมีการประกันคุณภาพทางการศึกษาทุกระดับ

วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ใบงานที่ 13


โครงการพัฒนานักศึกษาประกาศนียบัตรบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา
กิจกรรมศึกษาดูงานด้านการบริหารจัดการสถานศึกษา
ภาคกลาง – ภาคอีสาน วันที่ 17 - 22 มกราคม 2553
การศึกษาดูงานโรงเรียนอนุบาลหนองคาย สำหรับโรงเรียนอนุบาลหนองคายเปิดสอนในระดับชั้นอนุบาลปีที่ 1 ถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีนักเรียนทั้งสิ้น 2,002 คน 49 ห้องเรียน
สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาหนองคาย เขต 1 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน โทร 042-411051 www.anubannk.org
ผลงานของโรงเรียนอนุบาลหนองคาย
1. โรงเรียนรางวัลพระราชทานระดับประถมศึกษา
2. โรงเรียนผู้นำการเปลี่ยนแปลง
3. โรงเรียนต้นแบบการใช้หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
4. โรงเรียนต้นแบบการจัดการศึกษาปฐมวัย
5. โรงเรียนวิถีพุทธ
6. โรงเรียนส่งเสริมสุภาพ
7. โรงเรียนดีศรีหนองคาย
ซึ่งในการเข้าเยี่ยมชมในครั้งนี้ผู้บริหารได้มาต้อนรับและทำการบรรยายถึงยุทธวิธีการบริหารโรงเรียนให้ประสบความสำเร็จอย่างมีคุณภาพ
การศึกษาดูงานประเทศลาว ได้มีโอกาสเข้าสู่ประเทศลาวซึ่งเป็นบ้านพี่เมืองน้องของไทยวิถีชีวิตของคนลาวมีส่วนคล้ายคลึงกับประเทศไทยมากแต่ความเจริญก้าวหน้ายังล้าหลังกว่าประเทศไทย คนลาวมีวิถีชีวิตที่ค่อนข้างเรียบง่าย คนลาวสามารถใช้ภาษาไทยได้เป็นอย่างดี
การศึกษาดูงานที่หมู่บ้านงูจงอาง ที่บ้านโคกสง่า ตำบลทรายมูล ได้ร่วมดูการแสดงคนกับงูจงอาจ ซึ่งเป็นการแสดงที่ค่อนข้างอันตรายคนที่ไม่มีประสบการณ์จะลองทำไม่ได้ ชีวิตคนที่นั้นยังเป็นสังคมชนบทอยู่มาก มีการหาสมุนไพรมาขาย และได้รับการต้อนรับที่ดีจากชุมชนที่นั้น
การศึกษาที่จังหวัดเพชรบุรี ณ อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี ได้เข้าพักบ้านพักและร่วมรับประทานอาหารร่วมกันในตอนเย็นมีการทำกิจกรรมกลุ่มตลอดจนแลกเปลี่ยนความคิดเห็น

ใบงานที่ 12


การใช้โปรแกรม SPSS

สำหรับโปรแกรม SPSS ประกอบไปด้วยหน้าต่างหลัก 5 หน้าต่าง คือ 1. Data window 2. Syntax window 3. Output window 4. Draft output window 5. Script window
1. Data window/Data Editor
เป็น หน้าต่างสำหรับเก็บแฟ้มข้อมูลที่จะนำมาวิเคราะห์ด้วยโปรแกรม SPSS ซึ่งผู้ใช้อาจจะทำการป้อนข้อมูลลงในหน้าต่าง Data เลย หรือนำแฟ้มข้อมูลที่สร้างจากโปรแกรมอื่น ๆ มาใช้ในโปรแกรม SPSS โดยจะต้องใช้หน้าต่าง Data เป็นตัวเรียก ในหน้าต่าง Data ผู้ใช้สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อมูลได้ หน้าต่างนี้จะเปิดได้ครั้งละ 1 หน้าต่างเท่านั้น โดยปกติเมื่อเริ่มใช้โปรแกรม SPSS จะปรากฏหน้าต่าง Data ทันที ส่วนหน้าต่างอื่นๆ จะปรากฏให้เห็นภายหลัง นอกจากนี้หน้าต่าง Data ประกอบไปด้วย 2 แถบชีต คือ แถบชีต Data View ใช้สำหรับการป้อนข้อมูล และแถบชีต Variable View ใช้สำหรับกำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับตัวแปร และค่าของข้อมูลแต่ละตัวแปรโดยจะอยู่ในลักษณะของกระดาษทำการ (Spread sheet)

แถบรายการหลัก (Menu Bar) ของโปรแกรม SPSS

รายละเอียดของแถบรายการหลัก (Menu Bar) ในหน้าต่าง Data มีดังนี้

1. การจัดการแฟ้มข้อมูล (File) ใช้สำหรับเปิด/ปิด หน้าต่างประเภทต่างๆ ใช้เรียกข้อมูลจากโปรแกรมอื่นๆ ใช้บันทึกข้อมูลในแต่ละหน้าต่างลงแฟ้ม พิมพ์ข้อมูลในแต่ละหน้าต่างออกทางเครื่องพิมพ์และเลิกการใช้โปรแกรม SPSS
2. การแก้ไขข้อมูล (Edit) ใช้ย้าย คัดลอก หรือค้นหา ข้อมูลภายในหน้าต่างต่างๆ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดต่างๆ ของหน้าต่าง
3. การแสดงข้อมูล (View) ใช้กำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับการแสดงผลในหน้าต่าง เช่น ตัวอักษร (Font) การแสดงข้อความแทนค่า (Value label)
4. การจัดการข้อมูล (Data) ใช้ดำเนินงานกับข้อมูลในหน้าต่าง Data Editor เช่น สร้าง แก้ไข การรวมแฟ้มข้อมูล การเลือกข้อมูล เรียงลำดับข้อมูล
5. การปรับเปลี่ยนหรือเปลี่ยนแปลงข้อมูล (Transform) ใช้ในการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับข้อมูล เช่น สร้างตัวแปรใหม่เพิ่มเติม หรือจัดค่าตัวแปรใหม่
6. การวิเคราะห์สถิติ (Analyze) ใช้เรียกคำสั่งสำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ
7. กราฟ (Graphs) ใช้สร้างกราฟหรือ ชาร์ตในรูปแบบต่างๆ
8. การอำนวยความสะดวก (Utilities) ใช้ดูรายละเอียดของตัวแปร จัดกลุ่มตัวแปร การนำชุดคำสั่งที่เขียนในหน้าต่าง Script มาใช้งานการเพิ่มเมนู
9. หน้าต่าง (Window) ใช้จัดเรียงหน้าต่างในรูปแบบต่างๆ การเลือกแสดงสถานะต่างๆ ของหน้าต่าง การเลือกใช้งานหน้าต่างที่เปิดอยู่
10. การช่วยเหลือ (Help) ใช้ขอคำอธิบายการใช้โปรแกรม SPSS

แถบเครื่องมือ (Tool Bar) ของโปรแกรม SPSS
รายละเอียดของแถบเครื่องมือ (Tool Bar) โปรแกรม SPSS มีต่อไปดังนี้

2. Output
เป็น หน้าต่างสำหรับแสดงและเก็บบันทึกผลลัพธ์หรือรายละเอียดต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น จากการใช้งานโปรแกรม SPSS โดยหน้าต่าง Output จะแสดงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติทุกครั้งที่มีการใช้งานในเมนูของ โปรแกรม SPSS ผู้ใช้สามารถเปิดหน้าต่าง Output ได้มากกว่า 1 หน้าต่าง ซึ่งจะต้องมีการกำหนดหน้าต่างหนึ่งให้ทำหน้าที่แสดงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจาก การประมวลผล ครั้งล่าสุด แต่ถ้ามีหน้าต่างเดียวผลลัพธ์จะถูกแสดงต่อเนื่องไปเรื่อยๆ จนกว่าจะมีการสั่งให้แสดงผลลัพธ์ในหน้าต่าง Output อื่นๆ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นในหน้าต่าง Output นี้ ผู้ใช้สามารถเลือกที่จะให้แสดงผลลัพธ์ในรูปแบบของ Text ที่เป็นมาตรฐานซึ่งจะเรียกว่า แบบ Draff และในรูปแบบของ Graphics

รายละเอียดของแถบรายการหลัก (Menu Bar) ในหน้าต่าง Output มีต่อไปดังนี้
1. การจัดการแฟ้มข้อมูล (File) ใช้สำหรับเปิด/ปิด สร้าง บันทึกแฟ้ม Output
2. การแก้ไขข้อมูล (Edit) ใช้แก้ไข คัดลอก ค้นหาข้อมูลผลลัพธ์ในแฟ้ม Output
3. การแสดงข้อมูล (View) ใช้ Customize toolbar, Status bar แสดง/ซ่อน item
4. การเพิ่มข้อมูล (Insert) ใช้เพิ่ม/แทรก Page break, Tittle, Chart, Graph ฯ
5. รูปแบบ (Format) ใช้เปลี่ยน Alignment ของ Output ที่เลือก
6. การวิเคราะห์สถิติ (Analyze) ใช้เรียกคำสั่งสำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ
7. กราฟ (Graphs) ใช้สร้างกราฟหรือชาร์ตในรูปแบบต่างๆ
8. การอำนวยความสะดวก (Utilities) ใช้ดูรายละเอียดของตัวแปร จัดกลุ่มตัวแปร การนำชุดคำสั่งที่เขียนในหน้าต่าง Script มาใช้งานการเพิ่มเมนู
9. หน้าต่าง (Window) ใช้จัดเรียงหน้าต่างในรูปแบบต่างๆ การเลือกแสดงสถานะต่างๆ ของหน้าต่าง การเลือกใช้งานหน้าต่างที่เปิดอยู่
10. การช่วยเหลือ (Help) ใช้ขอคำอธิบายการใช้โปรแกรม SPSS
เริ่มต้นการใช้โปรแกรม SPSS 10.0 for windows
ขั้นตอนการสร้างแฟ้มข้อมูล
1. เข้าสู่โปรแกรม SPSS 10.0
2. เมื่อเปิดโปรแกรม SPSS โปรแกรมจะเปิดหน้าต่าง Data ซึ่งเป็นตารางปฏิบัติการให้ ดังนี้
สำหรับ หน้าต่าง SPSS for Windows ที่ปรากฏขึ้นมานั้น ในกรณีที่เป็นการใช้งานครั้งแรกให้เลือก Cancel และครั้งต่อไปให้พิจารณาชื่อแฟ้มข้อมูลที่จัดเก็บในช่อง
3. เริ่มกำหนดชื่อของตัวแปรแต่ละตัวลงในหัวตารางปฏิบัติการ ตามลำดับวิธีการดังนี้
3.1 ให้ Click ที่ เพื่อเปิดแถบชีต Variable View
3.2 เมื่อเปิดหน้าต่าง Variable View แล้วให้กำหนดรายละเอียดของตัวแปรที่ต้องการในช่องต่างๆ ดังนี้
Name คือ ชื่อของตัวแปรหรือหัวข้อในแบบสอบถามแต่ละข้อ เช่น "เพศ" แทนในช่อง sex
Type คือ การกำหนดชนิดของตัวแปร
Wide คือ เป็นการกำหนดความกว้างหรือจำนวนหลักของตัวแปร
Decimal คือ การกำหนดจำนวนหลักหลังทศนิยมของค่าตัวแปร
Label คือ การอธิบายรายการหรือความหมายของตัวแปร
Value คือ การกำหนดค่าของตัวแปร
Missing คือ การกำหนดค่าความผิดพลาด หรือการสูญหายของข้อมูล
Column คือ เป็นการกำหนดความกว้างของ Column ที่ใช้เก็บค่าตัวแปร
Alignment คือ การกำหนดตำแหน่งการวางข้อมูล
Measure คือ การกำหนดสเกลของข้อมูล
3.3 เมื่อกำหนดรายละเอียดเรียบร้อยแล้ว จะได้ดังนี้
3.4 จากนั้นให้ Click กลับมายังแถบชีต Data View ชื่อตัวแปรที่กำหนดไว้จะปรากฏที่หัวตารางปฏิบัติการ ดังตัวอย่าง
ขั้นตอนการป้อน และบันทึกข้อมูล
1. เมื่อกำหนดชื่อของตัวแปรครบทุกตัวแล้ว ขั้นตอนต่อมาคือ การป้อนข้อมูล ซึ่งการป้อนข้อมูลจะต้องป้อนตามที่กำหนดไว้ในคู่มือรหัส (Code book) เช่น ชื่อตัวแปร "sex" (แทนเพศ) กำหนดการป้อนข้อมูลในลักษณะของรหัส คือ กำหนดให้ 1) แทน ชาย 2) แทน หญิง 9) แทน ไม่ตอบ ดังนั้นในคอลัมน์ของรหัสตัวแปร "sex" จะมีตัวเลขปรากฏได้เพียง 3 ตัวเท่านั้นคือ 1 / 2 / 9 ดังตัวอย่าง หากมีตัวเลขอื่นปรากฏขึ้นมาแสดงว่ามีการป้อนข้อมูลผิดพลาด
2. เมื่อป้อนข้อมูลครบทุกคอลัมน์และทุกชุดแล้วให้ทำการบันทึกข้อมูล โดยเลือก File --> Save As ในกรณีที่เป็นการจัดเก็บแฟ้มข้อมูลครั้งแรก แต่หากเป็นการจัดเก็บข้อมูลในแฟ้มเดิมให้เลือก File -->Save หรือไปที่ Toolbar แล้วเลือก ก็ได้เช่นกัน จากนั้น ให้ตั้งชื่อไฟล์ ที่สื่อกับข้อมูลชุดนั้น ตัวอย่างเช่น ข้อมูลที่บันทึกเกี่ยวกับความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวที่มีต่อบริษัทธนา วิทย์ทัวร์ จำกัด กำหนดชื่อไฟล์เป็น "ธนาวิทย์" จากนั้นให้ Click ที่ save เป็นอันสิ้นการบันทึกข้อมูล

ขั้นตอนการประมวลผลข้อมูล

เมื่อ ป้อนข้อมูลครบทุกตัวแปรแล้ว ขั้นตอนต่อมาคือ ประมวลผลข้อมูลเพื่อให้ทราบผลลัพธ์ของข้อมูลเหล่านั้น ซึ่งการประมวลข้อมูลจะต้องเกี่ยวข้องกับการใช้สถิติ ดังนี้ การใช้สถิติสำหรับการพรรณนาข้อมูล และการใช้สถิติสำหรับการทดสอบสมมติฐาน

1. การใช้สถิติสำหรับการพรรณนาข้อมูล

สำหรับ การใช้สถิติสำหรับการพรรณนาข้อมูล ส่วนใหญ่จะกำหนดให้พรรณนาในรูปของตาราง ซึ่งแบ่งเป็น 1) ตารางทางเดียว 2) ตารางหลายทาง และการใช้สถิติพรรณนาแต่ละอย่างนั้นจะต้องขึ้นอยู่กับมาตรวัดของตัวแปร กล่าวคือ Nominal หรือ Ordinal Scale ส่วนใหญ่จะใช้ ค่าความถี่ และค่าร้อยละ ส่วน Interval หรือ Ratio Scale จะใช้ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน เพิ่มเติมอีก
1.1 การพรรณนาในรูปตารางทางเดียวโดยใช้คำสั่ง Frequencies

ขั้นตอนปฏิบัติการ

1. ไปที่ Menu bar เลือก Analyze -->Descriptive Statistics --Frequencies…
เมื่อเลือกตามลำดับแล้วจะเห็นได้หน้าต่าง Frequencies

2. เมื่อปรากฏหน้าต่าง Frequencies ให้เลือกตัวแปรที่ต้องการจากกล่องทางซ้าย โดยการ Click ที่ปุ่ม และเมื่อ Click เรียบร้อยแล้วตัวแปรที่เลือกก็ปรากฏยังกล่องทางขวา (Variable (s):) จากนั้นให้เลือก Statistics…….
3. สำหรับหน้าต่าง Frequencies: Statistics ให้เลือก Std. Deviation และ Menu จากนั้นให้ Click ที่ Continue
4. เมื่อกลับมายังหน้าต่าง Frequencies ให้ Click ที่ OK ก็จะได้ Output หรือผลลัพธ์ ดังนี้

5. สำหรับการบันทึก Output หรือ ผลลัพธ์ของข้อมูลนั้นก็ทำเช่นเดียวกับการบันทึกข้อมูล
1.2 การพรรณนาในรูปตารางหลายทางโดยใช้คำสั่ง Crosstab
ขั้นตอนการปฏิบัติการ
1. ไปที่ Menu bar เลือก Analyze --> Descriptive Statistics -- > Crosstab…
เมื่อเลือกตามลำดับแล้วจะได้หน้าต่าง Crosstab…
2. เมื่อปรากฏหน้าต่าง Crosstab ให้เลือกตัวแปรที่ต้องการจากกล่องทางซ้าย โดยการ Click ที่ปุ่ม และเมื่อ Click เรียบร้อยแล้วตัวแปรที่เลือกก็ปรากฏยังกล่องทางขวาตามกล่องที่ต้องการ ซึ่งมี 3 กล่อง คือ Row(s):, Column(s):, Layer 1 of 1:) จากนั้นให้เลือก Cells…..
3. สำหรับหน้าต่าง Crosstab: Cell Display ในกรอบ Percentages ให้เลือก แสดงร้อยละ ตามต้องการในแนวต่างๆ คือ Row Column หรือ Total จากนั้นให้ Click ที่ Column
4. เมื่อกลับมายังหน้าต่าง Crosstab ให้ Click ที่ OK ก็จะได้ Output หรือ ผลลัพธ์ ดังนี้
2. การใช้สถิติสำหรับการทดสอบสมมติฐาน
2.1 การทดสอบค่าเฉลี่ยหรือการเปรียบเทียบ
2.1.1 การทดสอบค่าเฉลี่ยสำหรับ 1 กลุ่มตัวอย่าง
เป็น การศึกษาโดยการตรวจสอบว่าคุณลักษณะใดคุณลักษณะหนึ่งของข้อมูลมี จำนวนเป็นไปตามที่คาดหวังหรือไม่ ตัวอย่างเช่น ผู้วิจัยต้องการทดสอบว่าอายุของนักท่องเที่ยวไม่น่าจะต่ำกว่า 35 ปี ที่ระดับนัยสำคัญ .10 สามารถทดสอบได้ดังนี้
ขั้นตอนการทดสอบ
1. ไปที่ Menu bar เลือก Analyze --> Compare Means --> One-Sample T Test…เมื่อเลือกตามลำดับแล้วจะได้หน้าต่าง One-Sample T Test
2. เลือกตัวแปร "อายุ[age]" จากกล่องทางซ้าย ไปยังกล่องทางขวา (Test Varible(s):) จากนั้นกำหนดค่าในกล่อง Test Value: เป็น 35 แล้วเลือก Option…
3. ในหน้าต่าง One-Sample T Test: Options ในกล่อง Confidence Interval ให้ใส่ค่า 90% จากนั้น Click ที่ Continue
4. เมื่อกลับมายังหน้าต่าง One-Sample T Test ให้ Click ที่ OK ก็จะได้ Output หรือ ผลลัพธ์ ดังนี้
2.1.2 การทดสอบค่าเฉลี่ยสำหรับ 2 กลุ่มตัวอย่างที่อิสระต่อกัน
เป็น การศึกษาเปรียบเทียบและตรวจสอบว่าคุณลักษณะใดคุณลักษณะหนึ่งของข้อมูล ระหว่างสองกลุ่ม มีความแตกต่างกันหรือไม่ และถ้าแตกต่างกันนั้นแตกต่างกันอย่างไร
ตัวอย่างเช่น ผู้วิจัยตั้งสมมติฐานว่า "เพศของนักท่องเที่ยวต่างกันจะมีความพึงพอใจที่มีต่อบริษัท ธนาวิทย์ทัวร์ จำกัด แตกต่างกัน"
การ ทดสอบสมมติฐานในครั้งนี้ ตัวแปรต้น/X คือ เพศ และตัวแปรตาม/Y คือ ความพึงพอใจที่มีต่อบริษัท ธนาวิทย์ทัวร์ จำกัด ซึ่งตัวแปรตาม/Y นั้นมีลักษณะเป็นชุดคำถามกล่าวคือ ตัวแปรความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวประกอบด้วยด้านต่างๆ ดังนี้ [hlth1]ด้านการจอง คำแนะนำ [hlth2]ด้านอาหาร [hlth3]ด้านบริการของไกด์ [hlth4]ด้านความสามารถของไกด์ [d5]ด้านพาหนะ ฉะนั้นก่อนการทดสอบจะต้องทำการประมวลหรือเปลี่ยนแปลงข้อมูล โดยจะต้องแปลงข้อมูลทั้ง 5 ด้านให้เป็นด้านเดียวหรือเป็นตัวแปรตัวใหม่ซึ่งก็คือ ความพึงพอใจ โดยกำหนดในโปรแกรม SPSS ว่า "m_hlth"
ขั้นตอนปฏิบัติการ
1. ไปที่ Menu bar เลือก Analyze --> Descriptive Statistics -- > Crosstab…
เมื่อเลือกตามลำดับแล้วจะได้หน้าต่าง Compute Variable
2. ในกล่อง Target Variable: ตั้งชื่อตัวแปรใหม่คือ "m_hlth" จากนั้นเลือกคำสั่ง MEAN(??) จากกล่อง Functions: หรือพิมพ์ว่า "mean()" ก็ได้แล้วให้ใส่ตัวแปรซึ่งเป็นองค์ประกอบของความพึงพอใจเข้าไปคือ hlth1, hlth2, hlth3, hlth4 และ hlth5 ตัวแปรแต่ละตัว โดยเลือกจากกล่องทางซ้าย หรือพิมพ์เข้าไปก็ได้ และจะต้องคั่นด้วยเครื่องหมายจุลภาค "," เสมอ เมื่อทำครบทุกขั้นตอนแล้ว Click ที่ OK ก็จะได้ตัวแปรตัวใหม่คือ "m_hlth" ดังนี้
ขั้นตอนการทดสอบ
1. ไปที่ Menu bar เลือก Analyze --> Compare Means --> Independent-Sample T Testเมื่อเลือกตามลำดับแล้วจะได้หน้าต่าง Independent-Sample T Test
2. เลือกตัวแปรต้น "sex" จากกล่องทางซ้าย ไปยังกล่องทางขวา (Grouping Variable:) แล้วเลือก Define Group…
3. สำหรับหน้าต่าง Define Groups ให้กำหนดดังนี้ กล่อง Group 1: 1 และ Group 2: 2 จากนั้น Click ที่ Continue
4. เมื่อกลับมายังหน้าต่าง Independent-Sample T Test ให้เลือกตัวแปรตาม "m_hlth" จากกล่องทางซ้าย ไปยังกล่องทางขวา (Test Variable(s):) แล้วเลือก Option…
5. สำหรับหน้าต่าง Independent-Sample T Test: Options ในกล่อง Confidence Interval ให้ใส่ค่า 95% จากนั้น Click ที่ Continue
6. เมื่อกลับมายังหน้าต่าง Independent-Sample T Test อีกครั้งให้ Click ที่ OK ก็จะได้ Output หรือผลลัพธ์ ดังนี้
2.1.3 การทดสอบค่าเฉลี่ยสำหรับหลายกลุ่มโดยการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว
เป็น การศึกษาเปรียบเทียบ และตรวจสอบว่าคุณลักษณะใดคุณลักษณะหนึ่งของข้อมูล ตั้งแต่สามกลุ่มขึ้นไปมีความแตกต่างกันหรือไม่ และถ้าแตกต่างกันนั้นแตกต่างกันอย่างไร
ตัวอย่างเช่น ผู้วิจัยสมมติฐานว่า "จุดประสงค์ของการเดินทางของนักท่องเที่ยวต่างกันจะมีความพึงพอใจที่มีต่อ บริษัท ธนาวิทย์ทัวร์ จำกัด แตกต่างกัน"
การทดสอบสมมติฐานในครั้งนี้ ตัวแปรต้น/X คือ อาชีพ และตัวแปรตาม/Y คือความพึงพอใจที่มีต่อบริษัท ธนาวิทย์ทัวร์ จำกัด ซึ่ง ตัวแปรตาม/Y นั้นมีลักษณะเป็นชุดคำถามเช่นเดียวกับ การทดสอบจากการทดสอบค่าเฉลี่ยสำหรับ 2 กลุ่มตัวอย่างที่อิสระต่อกัน ดังนั้นขั้นตอนปฏิบัติการสามรถดูได้จากการทดสอบดังกล่าว
ขั้นตอนการทดสอบ
1. ไปที่ Menu bar เลือก Analyze --> Compare Means --> One-Way ANOVA…เมื่อเลือกตามลำดับแล้วจะได้หน้าต่าง One-Way ANOVA
2. เลือกตัวแปรต้น "จุดประสงค์ของการเดินทาง[happy]" จากกล่องทางซ้าย ไปยังกล่องทางขวา (Factor:) แล้วเลือกตัวแปรตาม "ความพึงพอใจ[m_hlth]" จากกล่องทางซ้าย ไปยังกล่องทางขวา (Dependent list:) จากนั้นเลือก Option…
3. สำหรับหน้าต่าง One-Way ANOVA: Option ในกรอบ Statistics ให้เลือก Descriptive แล้ว Click ที่ Continue
4. เมื่อกลับมายังหน้าต่าง One-Way ANOVA ให้ Click ที่ Post Hoc…
สำหรับ หน้าต่างนี้ ในกรอบ Equal Variances Assumed ให้เลือก LSD หรือ Seheffe และกำหนดค่า Sighificance level: เท่ากับ .05 จากนั้นให้ Click ที่ Continue
5. เมื่อกลับมายังหน้าต่าง One-Way ANOVA อีกครั้งให้ Click ที่ OK ก็จะได้ Output หรือ ผลลัพธ์
2.2 การทดสอบความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ตัวแปร
การ ทดสอบหาความสัมพันธ์ เป็นวิธีการวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติอนุมานอีกวิธีหนึ่ง ที่นิยมใช้ในการ ทดสอบความสัมพันธ์คุณลักษณะของข้อมูลตั้งแต่ 2 คุณลักษณะ หรือ 2 ตัวแปรขึ้นไป ว่ามีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันหรือไม่ ซึ่งจะมีประโยชน์ในการสรุปผลข้อมูลงานวิจัย
ตัวอย่างเช่น ผู้วิจัยตั้งสมมติฐานว่า "รายได้ต่อเดือนของนักท่องเที่ยวมีความสัมพันธ์กับความพึงพอใจที่มีต่อ บริษัท ธนาวิทย์ทัวร์ จำกัด"
การทดสอบสมมติฐานในครั้งนี้ ตัวแปรต้น/X คือ เพศ และตัวแปรตาม/Y คือ ความพึงพอใจ ที่มีต่อบริษัท ธนาวิทย์ทัวร์ จำกัด ซึ่งตัวแปรตาม/Y นั้นมีลักษณะเป็นชุดคำถามเช่นเดียวกับ การทดสอบจากการทดสอบค่าเฉลี่ยสำหรับ 2 กลุ่มตัวอย่างที่อิสระต่อกัน ดังนั้นขั้นตอนปฏิบัติการสามารถดูได้จากการทดสอบดังกล่าว และนอกจากนี้ตัวแปรตาม/Y (ความพึงพอใจ [m_hlth]) ที่เกิดจากการปรับเปลี่ยนแล้วนั้นมีมาตรวัดตัวแปรเป็น Interval scale ยังไม่สามารถนำมาทดสอบความสัมพันธ์จึงต้องทำการปรับเปลี่ยนอีกครั้งให้มี มาตรวัดตัวแปรเป็น Nominal/Ordinal scale โดยใช้คำสั่ง recode เพื่อจัดกลุ่มใหม่ ก่อนนำไปทดสอบ
ขั้นตอนปฏิบัติการ
1. ไปที่ Menu bar เลือก Transform --> Recode --> Into Different Variables
เมื่อเลือกตามลำดับแล้วจะได้หน้าต่าง Recode into Different Variables
2. ให้เลือกตัวแปรที่จะทำการเปลี่ยนแปลงหรือจัดกลุ่มใหม่ซึ่งก็คือ ความพึงพอใจ [m_hltlh] จากกล่องซ้ายไปยังกล่องขวา (Numeric Variables --> Output) จากนั้นกำหนดชื่อตัวแปรใหม่เป็น "hlths" ที่กล่อง Name: ในกรอบ Output Variable แล้ว Click ที่ Change ต่อจากนั้น Click ที่ Old and New Values…. ก็จะปรากฏหน้าต่างดังนี้
3. สำหรับหน้าต่าง Recode into Different Variables: Old and New Values กำหนดกลุ่มย่อยของตัวแปร "satis" ซึ่งเป็นตัวแปรใหม่ ออกเป็น 2 กลุ่มย่อยดังนี้ กรอบ Old Value ให้เลือก Range: แล้วใส่ค่า -2.00 though ใส่ค่า 0.00 จากนั้นกำหนดในกรอบ New Value โดยเลือก Value: แล้วใส่ค่า 1 ซึ่งหมายถึงกลุ่มย่อยที่ 1 แล้ว Click ที่ add เมื่อกำหนดเสร็จแล้วผลของการจัดลุ่มจะปรากฏที่กล่อง Old --> New: สำหรับกลุ่มย่อยที่ 2 ก็ปฏิบัติการแบบเดียวกันแต่ให้กำหนดค่าเป็น 0.01 though 2.00 ในกรอบ Old Value และกรอบ New Value ให้กำหนด Value เป็น 2 จากนั้น Click ที่ Continue
ขั้นตอนการทดสอบ
1. ไปที่ Menu bar เลือกไปที่ Menu bar เลือก Analyze --> Descriptive Statistics --> Crosstab…
เมื่อเลือกตามลำดับแล้วจะได้เห็นหน้าต่าง Crosstabs
2. เลือกตัวแปรต้น "รายได้ต่อเดือน[inc]" จากกล่องทางซ้าย ไปยังกล่องทางขวา (Row(s):) ต่อมาเลือกตัวแปรตามคือ "ความพึงพอใจ[satis]" จากกล่องทางซ้าย ไปยังกล่องทางขวา (Column(s):) แล้ว Click ที่ Statistics….
3. เมื่อปรากฏหน้าต่าง Crosstab: Statistics ให้เลือก Chi-square จากนั้นให้ Click ที่ Continue
4. เมื่อกลับมาหน้าต่าง Crosstab ให้ Click ที่ Cell…
5. สำหรับหน้าต่าง Crosstab: Cell Display ในกรอบ Counts ให้เลือก Observed และ Expected ส่วนกรอบ Percentage ให้เลือก Total จากนั้นให้ Click ที่ Continue
6. เมื่อกลับมายังหน้าต่าง Crosstab ให้ Click ที่ OK ก็จะได้ Output หรือผลลัพธ์

ที่มา : http://classroom.hu.ac.th/courseware/ComApp/System/ch7_4.html

ใบงานที่ 11



สำหรับการเรียนการสอนในรายวิชาการจัดการนวัตกรรมและสารสนเทศ เป็นรายวิชาที่มีความนำสมัยเพราะในปัจจุบันการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการเรียนการสอนเพื่อให้เกิดประโยชน์กับองค์กรมากที่สุด ในส่วนของอาจารย์ต้องขอขอบพระคุณท่านมากสำหรับความใส่ใจและความมุ่งหวังในการให้ความรู้กับนักศึกษา อยากให้อาจารย์รักษาความดีตลอดไปค่ะ ขอให้อาจารย์มีความสุขมากๆนะค่ะ